รู้จักกับ supportive care


supportive care

Categories:

เชื่อได้เลยว่าหลายๆ คนก็คงเคยได้ยินคำว่า supportive care ซึ่งคำนี้แท้ที่จริงแล้วแปลว่าการดูแลแบบบรรเทาอาการนั่นเอง ซึ่งเป็นการดูแลสำหรับคนไข้ที่มีภาวะของโรครุนแรงกว่าเดิม เช่นการรักษาโรคมะเร็งในระยะท้ายๆ รวมไปถึงการรักษาโรคหัวใจวายในระยะท้าย เป็นต้น เป้าหมายของการรักษาแบบ supportive care นั้นไม่ได้หมายความว่าจะให้รอดชีวิต และอยู่ไปได้อีก20 ปี แต่หมายถึงการบรรเทาอาการแทรกซ้อน รวมไปถึงการรักษาทางด้านจิตใจ สังคม และจิตวิญญาณของคนไข้และตัวญาติอีกด้วย วันนี้เราจะพามาดูการรักษาแบบ supportive care การรักษาทางด้านจิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ 

1.รักษาทางด้านจิตใจ 

หลายๆ คนอาจจะตั้งคำถามและสงสัยว่าการรักษาทางด้านจิตใจนั้น แท้ที่จริงแล้วคืออะไรกันแน่ ขอตอบเลยว่าเป็นการเยียวยาจิตใจ การเยียวยาทั้งตัวคนไข้เองและญาติคนไข้ เพื่อให้ได้รับความสุขทางจิตใจในช่วงบั้นปลายของชีวิต ปราศจากความเจ็บปวด ความทนทุกข์ทั้งกายและใจเมื่อต้องเผชิญกับภาวะโรคที่รุนแรงกว่าเดิม อันอาจจะทำให้จิตใจตึงเครียด หม่นหมอง ซึ่งภาวะนี้ไม่ได้ส่งผลกับตัวคนไข้เองเท่านั้น หากแต่ว่าส่งผลกระทบหนักกับญาติคนไจ้อีกด้วย 

2.รักษาทางด้านสังคม 

ในภาวะแบบนี้เป็นที่แน่นอนว่าทั้งคนไข้และญาติคนไข้เอง อาจมีความรู้สึกเก็บตัวและแปลกแยกจากสังคม ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เป็นภาวะของการต้องยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ซึ่งการตั้งรับความเปลี่ยนแปลงไม่มีวิธีใดที่จะดีไปกว่าการรักษาและยกระดับทางสังคมด้วยการอยู่คนเดียว แต่การอยู่คนเดียวและจมอยู่กับความเจ็บปวดเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดความเครียดได้ ครั้นจะคุยกับคนภายนอก ก็อาจจะเกิดความไม่เข้าใจ และนำมาซึ่งการแนะนำแบบผิดๆ เช่น การแนะนำให้รักษาแบบพื้นบ้าน เป็นต้น การรักษาทางด้านสังคมจึงเป็นหน้าที่หลักของพยาบาลที่จะคอยซัพพอร์ตความเสียหายของจิตใจและซ่อมแซมความผุพังของจิตใจให้ดีขึ้น 

3.การรักษาทางจิตวิญญาณ 

การรักษาทางจิตวิญญาณคือการผนวกเอาความเชื่อทางด้านศาสนามาใช้นั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากศึกษาคำสอนของศาสนา จะพบว่าแท้จริงแล้วเรื่องของความตาย คือความเป็นสัจนิรันดร์ หมายถึง เป็นจริงไปตลอดกาล เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกคนนั่นเอง การให้ผู้ป่วยได้เข้าใกล้ศาสนามากยิ่งขึ้น จะทำให้ผู้ป่วยลดความทุกข์ทนลงไปได้ และเมื่อผนวกรวมเข้ากับการได้ปฏิบัติตัวตามหลักศาสนาของคนไข้ก็ยิ่งทำให้เป็นการยกระดับจิตวิญญาณนั่นเอง 

และนี่ก็คือหลักการรักษาแบบที่เรียกว่าการรักษาทางด้านจิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ supportive care จะทำให้เข้าใจภาพรวมการรักษาได้ดีขึ้น นำมาสู่คุณภาพชีวิตที่ดีของคนป่วยในช่วงสุดท้ายของชีวิต